2554/12/13

อานุภาพแห่ง "กอด"



เคยสังเกตไหม... เวลาคุณ กอดใคร คุณมักซบไปทางด้านซ้ายของอีกฝ่าย
อาจเป็นเพราะนั่นคือตำแหน่งที่ตั้งของหัวใจ หากคุณกอดเขาไว้นานเพียงพอ
จังหวะการเต้นของหัวใจ 2 ดวง ก็จะเปลี่ยนเป็นจังหวะเดียวกัน ในที่สุด

"กอด" คือเสื้อกันหนาวที่มีหัวใจ
ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะทำได้แทบทุกอย่าง แต่ข้อเสียของมันก็คือ ลุกขึ้นมา"กอด" คุณไม่ได้
ถ้าวันหนึ่งไม่มีเธอให้ "กอด" แล้วฉันจะโทษใครได้
"กอด" คือ การแสดงความเป็นเจ้าของที่น่ารัก
แม้ชีวิตนี้คุณจะมีใครให้ "กอด" แม้เพียงคนเดียว นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการดำรงชีวิต
"กอด" คือ การได้ให้และการได้รับพร้อม ๆ กัน
ในอนาคต "กอด" อาจหายากพอๆ กับเวลา
"กอด" ทำให้รู้ว่าเมื่อหัวใจอีกดวงมาเต้นอยู่ที่อกด้านขวาบ้างจะเป็นไง
เมื่อคุณถูก "กอด" คุณจะตัวเล็กลง
แต่เมื่อคุณ "กอด" คนอื่น คุณจะตัวใหญ่ขึ้น
"กอด" คือคำว่า "ฉันอยู่นี่"
เขียนโดย ไพลิน ถาวรวิจิตร และ GTH Team


รู้ไหม "กอด" สามารถ บำบัดโรคได้
ใน ยามที่รู้สึกเหงา โดดเดี่ยว ท้อแท้ สิ้นหวัง หรือแม้แต่หวาดกลัว แค่สัมผัสอันอ่อนโยนจากคนที่รักเราและปรารถนาดีต่อเรา ก็กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล สัมผัสและอ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ สามารถทำให้คนคนหนึ่งสามารถลุกขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อีกครั้ง ลองมองดูที่ตัวเรา ในยามที่เรารู้สึกแย่ๆ คุณเคยโหยหาอ้อมกอดจากใครสักคนที่คุณรักหรือไม่ แล้วยามที่คุณอยู่ในอ้อมกอด คุณรู้สึกอย่างไร... นั่นละ พลังแห่งการกอดที่ให้มากกว่าความอบอุ่น
"กอด" เป็นการสัมผัสรูปแบบหนึ่งที่มีความพิเศษ จนมีผู้กล่าวว่า การกอดไม่เพียงแต่เป็นสัมผัสที่ดี แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ ซึ่งมีทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนแนวคิดนี้มากมาย ว่าการกระตุ้นโดยการสัมผัส เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสรีระร่างกายและจิตใจ

การบำบัดด้วยการกอด
เรา รู้ว่าการกอดเป็นสัมผัสที่ดี แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า สามารถใช้เป็นวิธีการเยียวยาผู้ป่วยได้ โดยมีการนำการสัมผัสด้วยการกอดมาใช้ในหน่วยงานทางการแพทย์ใหญ่ ๆ ในต่างประเทศหลายแห่ง กว่า 20 ปีมาแล้ว และยังมีศูนย์ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการสัมผัสอีกด้วย วิธีนี้คือการใช้สัมผัสถ่ายทอดกำลังใจ ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยไปสู่ผู้ป่วยประกอบกับการใช้ยาที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ช่วยหายเร็วขึ้นและมีกำลังใจสูงขึ้นอีกด้วย

Dolores Krieger R.N. Ph.D. ผู้เชี่ยวชาญในสาขาการบำบัดด้วยการสัมผัสแห่ง New York University กล่าวว่า บุคคล ที่ได้รับการกอด หรือกอดผู้อื่น จะทำให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของฮีโมโกลบิน ทำให้การลำเลียงของออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ให้ทำงานได้อย่างทั่วถึงทำให้สดชื่น มีชีวิตชีวา ส่วนประเทศแถบเอเชียอย่างอินเดีย ที่ศูนย์ Delhi Sanjivini ศูนย์รักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาทางด้านจิตใจที่มีชื่อเสียงของอินเดีย ได้ใช้วิธีการรักษาผู้ป่วยจิตเภทด้วยการกอด โดยจัดหาอาสาสมัครที่จะมาบำบัดผู้ป่วยที่เป็นเพศเดียวกันกับผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยจิตเภทจะมีลักษณะของการถดถอย จึงนำวิธีการรักษาที่เป็นธรรมชาติมาใช้ เช่น ถ้าเด็ก 2 ขวบร้องไห้ ก็นำเด็กมานั่งตัก แล้วโอบกอดไว้ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือที่ง่ายๆ ไม่ต้องอาศัยหลักการใดๆ ให้ยุ่งยาก

เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ นักบำบัดจิตวิทยาครอบครัวกล่าวว่า คนเราต้องการการกอดวันละ 4 ครั้ง เพื่อการดำรงชีวิต คนเราต้องการการกอดวันละ 8 ครั้ง เพื่อการดำเนินชีวิต และคนเราต้องการกอดวันละ 12 ครั้ง เพื่อการเจริญเติบโต

กอดเพื่อสุขภาพ
อาการ เจ็บป่วยต่างๆ ที่เกิดขึ้นนำมาซึ่งความเครียดและความกังวลในผู้ป่วย และความเครียดเองก็สามารถนำไปสู่ปัจจัยเสี่ยงของโรคสารพัด เพราะทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดน้อยลง ในขณะเดียวกันก็ทำให้ความดันในเลือดสูงขึ้น การก อด จะช่วยให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นได้ สุขภาพจะดีขึ้น ช่วยรักษาภาวะซึมเศร้า ลดความตึงเครียด ทำให้มีชีวิตชีวา เป็นยาที่วิเศษที่ไม่มีผลข้างเคียง แต่ต้องเป็นกอดที่ออกมาจากใจ ทำด้วยความรักและเมตตาจริงๆ จึงจะเป็นความอ่อนโยน ที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีพิษภัย

มี คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญว่า กอดวันละครั้ง ทำให้ห่างไกลจากการพบแพทย์ (A Hug a Day Keeps The Doctor Away) ซึ่งมีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถยืนยันคำกล่าวนี้มากมาย ดังนี้

ผล วิจัยทางคลินิกจากสถาบัน The Touch Research Institute ณ มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์แห่งไมอามี สหรัฐอเมริกา (University of Miami School of Medicine) ได้ค้นพบว่า "สัมผัสบำบัด" หรือ Touch Therapy มีผลในการลดระดับความกังวลใจช่วยลดระดับฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ทำให้อารมณ์ดีขึ้น และบรรเทาอาการเจ็บป่วยให้ทุเลาลงได้ โดยทดลองใช้วิธีกอดในผู้ป่วยสูงอายุ พบว่า เมื่อใช้การกอดบำบัด ทำให้ผู้สูงอายุ มีภาวะสุขภาพที่ดีขึ้น มีความกระตือรือร้น มีความต้องการที่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาต่างๆ มากขึ้น และช่วยบรรเทาความเจ็บปวดซึมเศร้า

มหาวิทยาลัยแห่งรัฐ เวอร์จิเนีย และมหาวิทยาลัยแห่งรัฐวิสคอนซินระบุว่า กอดและสัมผัสช่วยทำให้สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตื่นตัวมีความเยือกเย็นลง นักประสาทวิทยาได้ให้สตรีที่สมรสแล้ว 16 คน มาอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเครียด แล้วให้อาสาสมัครชายที่มีความเป็นเพื่อนเข้ามาจับมือสตรีเหล่านั้น ผลสแกนพบว่า ส่วนของสมองที่ตอบสนองต่อกิจกรรมอันตรายนั้นลดน้อยลง และได้ผลมากขึ้นไปอีกเมื่อผู้ที่ยื่นมือให้จับเป็นคู่สมรสของสตรีเหล่านี้เอง ทั้ง นี้เนื่องจากการที่จิตใจผ่อนคลายลงอาจเป็นเพราะมีใครบางคนอยู่ที่นั่นคอย ช่วยเหลืออยู่ ส่วนการสัมผัสในรูปแบบอื่น เช่น การกอด, โอบไหล่ ก็ยังอาจช่วยลดความกระวนกระวาย และลดปริมาณฮอร์โมนความเครียดที่สมองผลิตลงได้

คณะนักวิจัย ของมหาวิทยาลัยแคโรไลนาเหนือของสหรัฐฯ ได้ศึกษาพบอานุภาพของการโอบกอดของคู่สามี-ภรรยา 38 คู่ พบว่า การกอดช่วยให้ระดับของฮอร์โมนออกซิโตซิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความรักความผูกพันเพิ่มขึ้น และความดันโลหิตลดต่ำลงได้ เป็นเหตุให้โอกาสของการเป็นโรคหัวใจลดน้อยลงไปด้วย โดยเฉพาะส่งผลอย่างยิ่งกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ขณะเดียวกันยังปรากฏว่า ผู้หญิงทุกคนยังพลอยมีระดับออร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด ลดต่ำลงด้วย

ศ.เซลดอน โทบ หัวหน้านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา ได้ศึกษาชายและหญิงจำนวน 216 คน เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งแต่ละคนล้วนเคร่งเครียดในงานที่ทำ แต่เมื่อกลับบ้านและได้รับสัมผัสที่ดี และการโอบกอดจากคู่สมรสหรือสมาชิกในครอบครัว พบว่าระดับความดันโลหิตที่สูงขึ้นจากความเครียดลดลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่คนที่อยู่เพียงลำพัง ระดับความดันโลหิตกลับไม่ลดลง
งานวิจัย ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจในอังกฤษก่อนหน้านี้ พบความสัมพันธ์ระหว่างเอนไซม์ความเครียด ที่สามารถลดประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ โดยพวกเขาได้ศึกษาเอนไซม์ในเซลล์ไขมัน ที่ชื่อว่า "11 เอชเอสดี 1" ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระดับฮอร์โมนความเครียด "คอร์ติซอล" และจากการศึกษาในสัตว์ทดลอง แสดงให้เห็นว่ายิ่งระดับเอนไซม์ตัวนี้สูงเท่าไร ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วนก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น


พลังแห่งกอด
การกอดไม่เพียงแต่ส่งผลต่ออารมณ์เท่านั้น แต่การกอดมีประโยชน์อีกมากมายอย่างที่คุณไม่เคยคิดถึงมาก่อน
1. ทำให้เรารู้สึกดีต่อตนเอง และสิ่งแวดล้อมคลายความรู้สึกหายเหงา เอาชนะความกลัวได้เป็นประตูเป็นไปสู่ความสึกอื่นๆ สร้างความภาคภูมิใจ เป็นการช่วยคนที่ไม่มีใครสนใจ ลดความตึงเครียด และช่วยให้ต่อสู้กับอาการนอนไม่หลับ
2. ลดความเจ็บปวดในผู้ป่วย ทั้งที่มีอาการเรื้อรังและไม่เรื้อรัง การทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่มปริมาณฮีโมโกลบิน และช่วยให้ร่างกายส่งเลือดมาหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณที่บาดเจ็บเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด มีการศึกษาวิจัยโดย Daved Bresler แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสเองเจลลิส ยืนยันว่า จากการทดลองให้ผู้ป่วยหญิงทีทุกข์ทรมานเพราะความเจ็บปวดก่อนคลอด ได้รับการกอดโดยสามีบ่อยๆ พบว่า ความเจ็บปวดลดลง
3. ลดความรู้สึกในทางลบ เช่น หวาดกลัว กังวล โกรธเกรี้ยว ไม่สบายใจ อันเป็นผลมาจากความป่วยไข้ไม่สบายกาย ในบางรายที่เป็นโรคร้ายชนิดรุนแรง เช่น มะเร็ง เอดส์ นั้น ผู้ป่วยต้องเรียนรู้ว่า เมื่อมีโรคร้ายอยู่ในตัว ชีวิตหลังจากนี้จะต้องเปลี่ยนไป จึงจำเป็นต้องกอดผู้ป่วยเพื่อประคองภาวะอารมณ์ ลดความรู้สึกในทางลบ ไม่ท้อแท้ต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายนั้น
4. ช่วยการพัฒนาการในเด็กพิการหรือเด็กออทิสติก ทำให้เกิดผลด้านบวกของการพัฒนา IQ และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระ การสัมผัสช่วยให้เด็กคลอดก่อนกำหนดได้รับการชดเชยเหมือนอยู่ในตู้อบ ทำให้เด็กเติบโตและมีทักษะในการดำเนินชีวิต
5. ช่วย ให้คนที่ขาดการกอด หรือการสัมผัสมีอาการดีขึ้น เพราะการกอดหรือการสัมผัส นั้นจำเป็นอย่างยิ่งในการดำรงชีวิต คนที่ขาดการกอด(หรือการสัมผัส) จะมีความเสี่ยงต่อความปวดร้าวรุนแรงในจิตใจ เมื่อเกิดความผิดหวังบางอย่างในชีวิต
"การกอดด้วยความรัก ความรู้สึกที่เป็นบวก จะได้ผลในเชิงการบำบัดเยียวยา
ที่มาข้อมูล : Health Plus

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น