เคยสังเกตไหม... เวลาคุณ กอดใคร คุณมักซบไปทางด้านซ้ายของอีกฝ่าย
อาจเป็นเพราะนั่นคือตำแหน่งที่ตั้งของหัวใจ หากคุณกอดเขาไว้นานเพียงพอ
จังหวะการเต้นของหัวใจ 2 ดวง ก็จะเปลี่ยนเป็นจังหวะเดียวกัน ในที่สุด
"กอด" คือเสื้อกันหนาวที่มีหัวใจ
ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะทำได้แทบทุกอย่าง
แต่ข้อเสียของมันก็คือ ลุกขึ้นมา"กอด" คุณไม่ได้
ถ้าวันหนึ่งไม่มีเธอให้ "กอด" แล้วฉันจะโทษใครได้
"กอด" คือ
การแสดงความเป็นเจ้าของที่น่ารัก
แม้ชีวิตนี้คุณจะมีใครให้ "กอด" แม้เพียงคนเดียว
นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการดำรงชีวิต
"กอด" คือ
การได้ให้และการได้รับพร้อม ๆ กัน
ในอนาคต "กอด"
อาจหายากพอๆ กับเวลา
"กอด" ทำให้รู้ว่าเมื่อหัวใจอีกดวงมาเต้นอยู่ที่อกด้านขวาบ้างจะเป็นไง
เมื่อคุณถูก "กอด"
คุณจะตัวเล็กลง
แต่เมื่อคุณ "กอด"
คนอื่น คุณจะตัวใหญ่ขึ้น
"กอด" คือคำว่า
"ฉันอยู่นี่"
เขียนโดย ไพลิน ถาวรวิจิตร และ GTH
Team
รู้ไหม "กอด"
สามารถ บำบัดโรคได้
ใน ยามที่รู้สึกเหงา โดดเดี่ยว ท้อแท้
สิ้นหวัง หรือแม้แต่หวาดกลัว แค่สัมผัสอันอ่อนโยนจากคนที่รักเราและปรารถนาดีต่อเรา
ก็กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล สัมผัสและอ้อมกอดที่อบอุ่นนี้
สามารถทำให้คนคนหนึ่งสามารถลุกขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อีกครั้ง
ลองมองดูที่ตัวเรา ในยามที่เรารู้สึกแย่ๆ คุณเคยโหยหาอ้อมกอดจากใครสักคนที่คุณรักหรือไม่
แล้วยามที่คุณอยู่ในอ้อมกอด คุณรู้สึกอย่างไร... นั่นละ
พลังแห่งการกอดที่ให้มากกว่าความอบอุ่น
"กอด"
เป็นการสัมผัสรูปแบบหนึ่งที่มีความพิเศษ จนมีผู้กล่าวว่า
การกอดไม่เพียงแต่เป็นสัมผัสที่ดี แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้
ซึ่งมีทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนแนวคิดนี้มากมาย ว่าการกระตุ้นโดยการสัมผัส
เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสรีระร่างกายและจิตใจ
การบำบัดด้วยการกอด
เรา รู้ว่าการกอดเป็นสัมผัสที่ดี แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า สามารถใช้เป็นวิธีการเยียวยาผู้ป่วยได้ โดยมีการนำการสัมผัสด้วยการกอดมาใช้ในหน่วยงานทางการแพทย์ใหญ่ ๆ ในต่างประเทศหลายแห่ง กว่า 20 ปีมาแล้ว และยังมีศูนย์ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการสัมผัสอีกด้วย วิธีนี้คือการใช้สัมผัสถ่ายทอดกำลังใจ ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยไปสู่ผู้ป่วยประกอบกับการใช้ยาที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ช่วยหายเร็วขึ้นและมีกำลังใจสูงขึ้นอีกด้วย
เรา รู้ว่าการกอดเป็นสัมผัสที่ดี แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า สามารถใช้เป็นวิธีการเยียวยาผู้ป่วยได้ โดยมีการนำการสัมผัสด้วยการกอดมาใช้ในหน่วยงานทางการแพทย์ใหญ่ ๆ ในต่างประเทศหลายแห่ง กว่า 20 ปีมาแล้ว และยังมีศูนย์ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการสัมผัสอีกด้วย วิธีนี้คือการใช้สัมผัสถ่ายทอดกำลังใจ ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยไปสู่ผู้ป่วยประกอบกับการใช้ยาที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ช่วยหายเร็วขึ้นและมีกำลังใจสูงขึ้นอีกด้วย
Dolores Krieger R.N. Ph.D. ผู้เชี่ยวชาญในสาขาการบำบัดด้วยการสัมผัสแห่ง
New York University กล่าวว่า บุคคล ที่ได้รับการกอด
หรือกอดผู้อื่น จะทำให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของฮีโมโกลบิน
ทำให้การลำเลียงของออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ
ให้ทำงานได้อย่างทั่วถึงทำให้สดชื่น มีชีวิตชีวา ส่วนประเทศแถบเอเชียอย่างอินเดีย
ที่ศูนย์ Delhi Sanjivini ศูนย์รักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาทางด้านจิตใจที่มีชื่อเสียงของอินเดีย
ได้ใช้วิธีการรักษาผู้ป่วยจิตเภทด้วยการกอด
โดยจัดหาอาสาสมัครที่จะมาบำบัดผู้ป่วยที่เป็นเพศเดียวกันกับผู้ป่วย
เนื่องจากผู้ป่วยจิตเภทจะมีลักษณะของการถดถอย
จึงนำวิธีการรักษาที่เป็นธรรมชาติมาใช้ เช่น ถ้าเด็ก 2 ขวบร้องไห้
ก็นำเด็กมานั่งตัก แล้วโอบกอดไว้ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือที่ง่ายๆ
ไม่ต้องอาศัยหลักการใดๆ ให้ยุ่งยาก
เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ นักบำบัดจิตวิทยาครอบครัวกล่าวว่า คนเราต้องการการกอดวันละ 4 ครั้ง เพื่อการดำรงชีวิต คนเราต้องการการกอดวันละ 8 ครั้ง เพื่อการดำเนินชีวิต และคนเราต้องการกอดวันละ 12 ครั้ง เพื่อการเจริญเติบโต
เวอร์จิเนีย ซาเทียร์ นักบำบัดจิตวิทยาครอบครัวกล่าวว่า คนเราต้องการการกอดวันละ 4 ครั้ง เพื่อการดำรงชีวิต คนเราต้องการการกอดวันละ 8 ครั้ง เพื่อการดำเนินชีวิต และคนเราต้องการกอดวันละ 12 ครั้ง เพื่อการเจริญเติบโต
กอดเพื่อสุขภาพ
อาการ เจ็บป่วยต่างๆ ที่เกิดขึ้นนำมาซึ่งความเครียดและความกังวลในผู้ป่วย และความเครียดเองก็สามารถนำไปสู่ปัจจัยเสี่ยงของโรคสารพัด เพราะทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดน้อยลง ในขณะเดียวกันก็ทำให้ความดันในเลือดสูงขึ้น การก อด จะช่วยให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นได้ สุขภาพจะดีขึ้น ช่วยรักษาภาวะซึมเศร้า ลดความตึงเครียด ทำให้มีชีวิตชีวา เป็นยาที่วิเศษที่ไม่มีผลข้างเคียง แต่ต้องเป็นกอดที่ออกมาจากใจ ทำด้วยความรักและเมตตาจริงๆ จึงจะเป็นความอ่อนโยน ที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีพิษภัย
มี คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญว่า กอดวันละครั้ง ทำให้ห่างไกลจากการพบแพทย์ (A Hug a Day Keeps The Doctor Away) ซึ่งมีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถยืนยันคำกล่าวนี้มากมาย ดังนี้
ผล วิจัยทางคลินิกจากสถาบัน The Touch Research Institute ณ มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์แห่งไมอามี สหรัฐอเมริกา (University of Miami School of Medicine) ได้ค้นพบว่า "สัมผัสบำบัด" หรือ Touch Therapy มีผลในการลดระดับความกังวลใจช่วยลดระดับฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ทำให้อารมณ์ดีขึ้น และบรรเทาอาการเจ็บป่วยให้ทุเลาลงได้ โดยทดลองใช้วิธีกอดในผู้ป่วยสูงอายุ พบว่า เมื่อใช้การกอดบำบัด ทำให้ผู้สูงอายุ มีภาวะสุขภาพที่ดีขึ้น มีความกระตือรือร้น มีความต้องการที่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาต่างๆ มากขึ้น และช่วยบรรเทาความเจ็บปวดซึมเศร้า
มหาวิทยาลัยแห่งรัฐ เวอร์จิเนีย และมหาวิทยาลัยแห่งรัฐวิสคอนซินระบุว่า กอดและสัมผัสช่วยทำให้สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตื่นตัวมีความเยือกเย็นลง นักประสาทวิทยาได้ให้สตรีที่สมรสแล้ว 16 คน มาอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเครียด แล้วให้อาสาสมัครชายที่มีความเป็นเพื่อนเข้ามาจับมือสตรีเหล่านั้น ผลสแกนพบว่า ส่วนของสมองที่ตอบสนองต่อกิจกรรมอันตรายนั้นลดน้อยลง และได้ผลมากขึ้นไปอีกเมื่อผู้ที่ยื่นมือให้จับเป็นคู่สมรสของสตรีเหล่านี้เอง ทั้ง นี้เนื่องจากการที่จิตใจผ่อนคลายลงอาจเป็นเพราะมีใครบางคนอยู่ที่นั่นคอย ช่วยเหลืออยู่ ส่วนการสัมผัสในรูปแบบอื่น เช่น การกอด, โอบไหล่ ก็ยังอาจช่วยลดความกระวนกระวาย และลดปริมาณฮอร์โมนความเครียดที่สมองผลิตลงได้
คณะนักวิจัย ของมหาวิทยาลัยแคโรไลนาเหนือของสหรัฐฯ ได้ศึกษาพบอานุภาพของการโอบกอดของคู่สามี-ภรรยา 38 คู่ พบว่า การกอดช่วยให้ระดับของฮอร์โมนออกซิโตซิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความรักความผูกพันเพิ่มขึ้น และความดันโลหิตลดต่ำลงได้ เป็นเหตุให้โอกาสของการเป็นโรคหัวใจลดน้อยลงไปด้วย โดยเฉพาะส่งผลอย่างยิ่งกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ขณะเดียวกันยังปรากฏว่า ผู้หญิงทุกคนยังพลอยมีระดับออร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด ลดต่ำลงด้วย
ศ.เซลดอน โทบ หัวหน้านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา ได้ศึกษาชายและหญิงจำนวน 216 คน เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งแต่ละคนล้วนเคร่งเครียดในงานที่ทำ แต่เมื่อกลับบ้านและได้รับสัมผัสที่ดี และการโอบกอดจากคู่สมรสหรือสมาชิกในครอบครัว พบว่าระดับความดันโลหิตที่สูงขึ้นจากความเครียดลดลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่คนที่อยู่เพียงลำพัง ระดับความดันโลหิตกลับไม่ลดลง
อาการ เจ็บป่วยต่างๆ ที่เกิดขึ้นนำมาซึ่งความเครียดและความกังวลในผู้ป่วย และความเครียดเองก็สามารถนำไปสู่ปัจจัยเสี่ยงของโรคสารพัด เพราะทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดน้อยลง ในขณะเดียวกันก็ทำให้ความดันในเลือดสูงขึ้น การก อด จะช่วยให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นได้ สุขภาพจะดีขึ้น ช่วยรักษาภาวะซึมเศร้า ลดความตึงเครียด ทำให้มีชีวิตชีวา เป็นยาที่วิเศษที่ไม่มีผลข้างเคียง แต่ต้องเป็นกอดที่ออกมาจากใจ ทำด้วยความรักและเมตตาจริงๆ จึงจะเป็นความอ่อนโยน ที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีพิษภัย
มี คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญว่า กอดวันละครั้ง ทำให้ห่างไกลจากการพบแพทย์ (A Hug a Day Keeps The Doctor Away) ซึ่งมีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถยืนยันคำกล่าวนี้มากมาย ดังนี้
ผล วิจัยทางคลินิกจากสถาบัน The Touch Research Institute ณ มหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์แห่งไมอามี สหรัฐอเมริกา (University of Miami School of Medicine) ได้ค้นพบว่า "สัมผัสบำบัด" หรือ Touch Therapy มีผลในการลดระดับความกังวลใจช่วยลดระดับฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ทำให้อารมณ์ดีขึ้น และบรรเทาอาการเจ็บป่วยให้ทุเลาลงได้ โดยทดลองใช้วิธีกอดในผู้ป่วยสูงอายุ พบว่า เมื่อใช้การกอดบำบัด ทำให้ผู้สูงอายุ มีภาวะสุขภาพที่ดีขึ้น มีความกระตือรือร้น มีความต้องการที่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาต่างๆ มากขึ้น และช่วยบรรเทาความเจ็บปวดซึมเศร้า
มหาวิทยาลัยแห่งรัฐ เวอร์จิเนีย และมหาวิทยาลัยแห่งรัฐวิสคอนซินระบุว่า กอดและสัมผัสช่วยทำให้สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการตื่นตัวมีความเยือกเย็นลง นักประสาทวิทยาได้ให้สตรีที่สมรสแล้ว 16 คน มาอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเครียด แล้วให้อาสาสมัครชายที่มีความเป็นเพื่อนเข้ามาจับมือสตรีเหล่านั้น ผลสแกนพบว่า ส่วนของสมองที่ตอบสนองต่อกิจกรรมอันตรายนั้นลดน้อยลง และได้ผลมากขึ้นไปอีกเมื่อผู้ที่ยื่นมือให้จับเป็นคู่สมรสของสตรีเหล่านี้เอง ทั้ง นี้เนื่องจากการที่จิตใจผ่อนคลายลงอาจเป็นเพราะมีใครบางคนอยู่ที่นั่นคอย ช่วยเหลืออยู่ ส่วนการสัมผัสในรูปแบบอื่น เช่น การกอด, โอบไหล่ ก็ยังอาจช่วยลดความกระวนกระวาย และลดปริมาณฮอร์โมนความเครียดที่สมองผลิตลงได้
คณะนักวิจัย ของมหาวิทยาลัยแคโรไลนาเหนือของสหรัฐฯ ได้ศึกษาพบอานุภาพของการโอบกอดของคู่สามี-ภรรยา 38 คู่ พบว่า การกอดช่วยให้ระดับของฮอร์โมนออกซิโตซิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความรักความผูกพันเพิ่มขึ้น และความดันโลหิตลดต่ำลงได้ เป็นเหตุให้โอกาสของการเป็นโรคหัวใจลดน้อยลงไปด้วย โดยเฉพาะส่งผลอย่างยิ่งกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ขณะเดียวกันยังปรากฏว่า ผู้หญิงทุกคนยังพลอยมีระดับออร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด ลดต่ำลงด้วย
ศ.เซลดอน โทบ หัวหน้านักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา ได้ศึกษาชายและหญิงจำนวน 216 คน เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งแต่ละคนล้วนเคร่งเครียดในงานที่ทำ แต่เมื่อกลับบ้านและได้รับสัมผัสที่ดี และการโอบกอดจากคู่สมรสหรือสมาชิกในครอบครัว พบว่าระดับความดันโลหิตที่สูงขึ้นจากความเครียดลดลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่คนที่อยู่เพียงลำพัง ระดับความดันโลหิตกลับไม่ลดลง
งานวิจัย ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจในอังกฤษก่อนหน้านี้
พบความสัมพันธ์ระหว่างเอนไซม์ความเครียด ที่สามารถลดประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ
โดยพวกเขาได้ศึกษาเอนไซม์ในเซลล์ไขมัน ที่ชื่อว่า "11 เอชเอสดี 1" ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระดับฮอร์โมนความเครียด
"คอร์ติซอล" และจากการศึกษาในสัตว์ทดลอง แสดงให้เห็นว่ายิ่งระดับเอนไซม์ตัวนี้สูงเท่าไร
ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วนก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
พลังแห่งกอด
การกอดไม่เพียงแต่ส่งผลต่ออารมณ์เท่านั้น แต่การกอดมีประโยชน์อีกมากมายอย่างที่คุณไม่เคยคิดถึงมาก่อน
การกอดไม่เพียงแต่ส่งผลต่ออารมณ์เท่านั้น แต่การกอดมีประโยชน์อีกมากมายอย่างที่คุณไม่เคยคิดถึงมาก่อน
1. ทำให้เรารู้สึกดีต่อตนเอง
และสิ่งแวดล้อมคลายความรู้สึกหายเหงา
เอาชนะความกลัวได้เป็นประตูเป็นไปสู่ความสึกอื่นๆ สร้างความภาคภูมิใจ
เป็นการช่วยคนที่ไม่มีใครสนใจ ลดความตึงเครียด และช่วยให้ต่อสู้กับอาการนอนไม่หลับ
2. ลดความเจ็บปวดในผู้ป่วย ทั้งที่มีอาการเรื้อรังและไม่เรื้อรัง
การทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่มปริมาณฮีโมโกลบิน
และช่วยให้ร่างกายส่งเลือดมาหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณที่บาดเจ็บเพิ่มขึ้น
ซึ่งช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด มีการศึกษาวิจัยโดย Daved Bresler แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสเองเจลลิส ยืนยันว่า จากการทดลองให้ผู้ป่วยหญิงทีทุกข์ทรมานเพราะความเจ็บปวดก่อนคลอด
ได้รับการกอดโดยสามีบ่อยๆ พบว่า ความเจ็บปวดลดลง
3. ลดความรู้สึกในทางลบ เช่น หวาดกลัว กังวล
โกรธเกรี้ยว ไม่สบายใจ อันเป็นผลมาจากความป่วยไข้ไม่สบายกาย
ในบางรายที่เป็นโรคร้ายชนิดรุนแรง เช่น มะเร็ง เอดส์ นั้น ผู้ป่วยต้องเรียนรู้ว่า
เมื่อมีโรคร้ายอยู่ในตัว ชีวิตหลังจากนี้จะต้องเปลี่ยนไป
จึงจำเป็นต้องกอดผู้ป่วยเพื่อประคองภาวะอารมณ์ ลดความรู้สึกในทางลบ
ไม่ท้อแท้ต่อการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายนั้น
4. ช่วยการพัฒนาการในเด็กพิการหรือเด็กออทิสติก
ทำให้เกิดผลด้านบวกของการพัฒนา IQ และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระ
การสัมผัสช่วยให้เด็กคลอดก่อนกำหนดได้รับการชดเชยเหมือนอยู่ในตู้อบ
ทำให้เด็กเติบโตและมีทักษะในการดำเนินชีวิต
5. ช่วย ให้คนที่ขาดการกอด
หรือการสัมผัสมีอาการดีขึ้น เพราะการกอดหรือการสัมผัส
นั้นจำเป็นอย่างยิ่งในการดำรงชีวิต คนที่ขาดการกอด(หรือการสัมผัส)
จะมีความเสี่ยงต่อความปวดร้าวรุนแรงในจิตใจ เมื่อเกิดความผิดหวังบางอย่างในชีวิต
"การกอดด้วยความรัก
ความรู้สึกที่เป็นบวก จะได้ผลในเชิงการบำบัดเยียวยา
ที่มาข้อมูล : Health Plus
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น