วันนี้หาข้อมูล แล้วบังเอิญเปิดเมลนี้อีกครั้ง ได้อ่านอีกครั้งหนึ่ง แล้วนึกย้อนไปเมื่อสาม สี่ปีที่แล้ว แล้วรู้สึก "เสียดาย" เวลา และความตั้งใจที่เคยมี แล้วไม่ได้ทำ
ใกล้ปีใหม่อีกแล้วครับ เพื่อนๆ เคย "เสียดาย" กับเป้าหมาย และความฝันเก่าๆ ที่หลงลืมไป ไม่ได้ทำหรือเปล่า ลองอ่านบทความที่ผมเอามาจากเมลเก่าๆ นี้ดูนะครับ
เป็นบทความจาก G Magazine ขอบคุณเพื่อนคนหนึ่ง ที่ส่งต่อเมลนี้มาให้อ่าน เมื่อ สี่ปีที่แล้วครับ
คนที่กำลังทะเลาะกัน
มองไม่เห็นหรอกว่าตัวเองถูกหรือผิด ..... คนที่ไม่เคยลำบาก
ไม่รู้หรอกว่าความลำบากนั้นเป็นอย่างไร
คนที่ไม่เคยเป็นหนี้
ไม่รู้หรอกว่าการรอคอยให้หมดหนี้สินนั้นทรมานเพียงใด .... คนที่ไม่เคยตกงาน
ไม่รู้หรอกว่าการได้งานทำนั้นสำคัญแค่ไหน ฯลฯ
เรื่อง
บางเรื่องในชีวิตนี้เราอาจจะมีโอกาสทดลองหรือสัมผัสได้มากกว่าหนึ่งครั้ง .... เรื่องบางเรื่องก็มีโอกาสแก้ตัวได้ เมื่อผ่านชีวิตลำบากมาได้แล้ว
ก็พอจะรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไม่ให้ลำบากอีก
แต่ ... เรื่องบางเรื่อง ในชีวิตนี้จะผ่านมาและเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
ไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะเรื่องบางเรื่องต้องอาศัยเวลาเกือบทั้งชีวิต
จึงจะรู้ว่าสิ่งที่ผ่านมานั้นถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี
และเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งสำหรับคนที่เป็นลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือน
คือประสบการณ์ชีวิตและข้อคิดจากการเป็นลูกจ้าง
ข้อคิดหรือบทเรียนส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้ว
ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ผิดซ้ำเรื่องเดิมกับคนรุ่นก่อนๆ
จึงขอเป็นตัวแทนของรุ่นพี่ๆอดีตมนุษย์เงินเดือนมาบอกเล่าให้ฟังว่า
คนที่เคยทำงานกินเงินเดือนในรุ่นที่ผ่านๆมา เขาหันกลับมามองอดีตแล้วเกิดความรู้สึก “เสียดาย” อะไรบ้าง
หรือถ้าจะพูดง่ายๆคือ เรื่องไหนบ้างที่อดีตมนุษย์เงินเดือนคิดว่า
ถ้าย้อนเวลากลับมาได้จะทำให้ดีกว่าที่ผ่านมา
วันนี้จึงอยากจะสรุปคำว่า “เสียดาย” ของอดีตมนุษย์เงินเดือน
เพื่อฝากเตือนใจมนุษย์เงินเดือนรุ่นใหม่ ให้หลีกเลี่ยงหรือป้องกันดังนี้
เสียดายไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน
ไม่ว่าจะเป็น อดีตมนุษย์เงินเดือนหรือมนุษย์เงินเดือนรุ่นพี่ๆ
ในปัจจุบันมักจะรู้สึกเสียดายกับชีวิตการทำงานที่ผ่านมา
เนื่องจากช่วงแรกๆของการทำงานไม่ค่อยตั้งใจและทุ่มเทมากนัก ตอนนั้นคิดว่าทำงานแลกกับเงิน
ได้เงินน้อยก็ทำน้อย ที่ไหนให้มากก็ขยันขึ้นมาหน่อย คิดอย่างเดียวว่าถ้าขยันทำมาก
เจ้านายจะติดใจและใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็เหนื่อยอยู่คนเดียว
มารู้ตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อทำงานไปตั้งนานไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเสียที
เด็กรุ่นใหม่ๆที่เพิ่งเข้ามาแซงหน้าไปเสียแล้ว
ที่สำคัญชีวิตช่วงแรกที่ทำงานมักจะเป็นช่วงที่เราจะรู้สึกว่าทำงานเหนื่อย
กว่าตอนเรียน ดังนั้น วัยนี้คนทำงานบางคนก็เริ่มเที่ยว ดื่ม กิน ใช้ชีวิตเปลืองมาก
เลิกงานเสร็จเที่ยวต่อจนดึกจนดื่น เผลอๆบางวันใส่ชุดเดิมมาทำงาน (เพราะยังไม่ได้กลับบ้านหรือที่พัก) แล้วจะ ทำงานให้ดีได้อย่างไร กายและใจมาทำงานเพียงครึ่งเดียว
เพื่อนบางคนก็มัวแต่ทำงานเพื่อค้นหาตัวเองว่างานที่กำลังทำอยู่นั้น
ใช่สิ่งที่ต้องการหรือไม่ บางคนก็ทำงานเพื่อรอโอกาสหางานใหม่
สุดท้ายชีวิตการทำงานในช่วงแรกๆ แทนที่จะมีเส้นการเรียนรู้ที่สูงชัน กลับกลายเป็นเส้นการเรียนรู้ที่แบนราบ
อายุงานผ่านไป แต่อายุใจที่มีต่องานยังอยู่เท่าเดิม
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะตั้งใจและขยันทำงานตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาทำงาน
และจะกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทั้งที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับ
หน้าที่ที่รับผิดชอบ และจะลดหรืองดการเที่ยวและดื่มให้น้อยลง
เพราะตอนนี้ผลกรรมเริ่มสนองให้เห็นแล้วว่า การใช้ชีวิตแบบประมาทนั้น
ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายระยะยาว
เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ
ความเสียดายข้อนี้
ผมเชื่อว่าเกินครึ่งของมนุษย์เงินเดือนที่มีความรู้สึกแบบนี้
เพราะตอนเข้ามาทำงานแรกๆ เกือบทุกคนมักจะคิดว่าจะหาเวลาศึกษาต่อ
รอเก็บเงินค่าเทอมไปสักพักก่อน และรอให้ทำงานเข้าที่ก่อน
แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง ทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่พลาดเป้าหมายนี้ไป
เช่นงานยุ่ง ไม่มีเวลาเรียน พอจะเรียนก็เปลี่ยนงาน (เหตุผลเดิมคือรอให้งานเข้าที่แล้วค่อยเรียน) ไม่มีเงินค่าเทอม
ขี้เกียจอ่านหนังสือ สอบไม่ได้ (เพราะไม่ตั้งใจ) ใจ อยากเรียนแต่ไม่เคยแม้แต่จะลงมือทำอะไรเลย เลือกที่เรียนมากเกินไป
บางคนลองไปเรียนแล้วแต่ไปไม่รอดเพราะแบ่งเวลาไม่เป็น
อดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนคิดย้อนกลับไปว่าถ้าตอนนั้นเรียนต่อในระดับนั้น ระดับนี้
ป่านนี้คงประสบความสำเร็จไปมากกว่านี้แน่นอน
เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งมีโอกาสดีๆเข้ามาในชีวิต คุณสมบัติครบทุกอย่าง
ขาดอย่างเดียวคือวุฒิการศึกษาไม่ถึง เลยเสียโอกาสที่สำคัญในชีวิตการทำงานไป
มาถึงตอนนี้ก็แก่เกินเรียนแล้ว ยิ่งออกมาทำธุรกิจส่วนตัว ถึงแม้จะมีเวลามากขึ้น
แต่กำลังใจมีน้อยลง แรงใจมีน้อยลง และไม่รู้จะเรียนไปทำไม
เพราะงานธุรกิจส่วนตัวที่ทำอยู่ไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาสูงๆก็ได้
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คิดว่าจะต้องตัดสินใจเรียนตั้งแต่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ
สักปีสองปี จะยอมอดทนไปสักระยะหนึ่ง และจะเรียนให้จบก่อนที่จะเปลี่ยนงานใหม่หรือมีครอบครัว
เสียดายที่มัวแต่ทะเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน
มนุษย์
เงินเดือนหลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งปัญหาหัวหน้า ปัญหาเพื่อนร่วมงาน
บางคนก็มีปัญหากับลูกน้องอีก วันๆเสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น
ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักจะคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนทำงานเป็นปัญหาใหญ่
เลยใช้เวลากับมันมาก เครียดกับมันบ่อย
แทบจะไม่มีเวลาไปพัฒนาหรือปรับปรุงงานหรือพัฒนาตนเองเลย ตอนนั้นลืมไปว่า
จริงๆแล้วไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
และเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน
แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้
คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก
คิดว่าเรื่องเมื่อวานมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนผิด ทำไมเขาจึงเป็นคนแบบนั้น
สุดท้ายเราก็จมอยู่กับปัญหา คนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว
ปัญหาคนเก่าหายไป แต่..ปัญหาคนใหม่ก็เกิดขึ้น
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะคิดเสียว่าปัญหาคนเหมือนกับปัญหารถชนกันบนถนน
ที่เราไม่ต้องไปสนใจกับมันให้มากนัก
แต่เราควรจะใส่ใจว่าเส้นทางที่เรากำลังจะเดินทางไปนั้นอยู่อีกไกลหรือไม่
เรามีเวลาเหลืออีกนานหรือไม่ ต้องคิดว่าไม่มีใครทำงานกับเราไปตลอดชีวิต
และเราเองก็ไม่ได้ทำงานกับใครไปตลอดชีวิตเช่นกัน
และคิดว่าถ้าเรารับปัญหาคนอื่นไม่ได้
เราคงจะก้าวขึ้นไปในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้นไปไม่ได้ เพราะยิ่งสูง
ปัญหาคนยิ่งมากและซับซ้อนมากขึ้น
เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย
ถ้า ดูประวัติมนุษย์เงินเดือนบางคน
จะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุกๆปี ปีละครั้งสองครั้ง
ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย เช่นเงินเดือนสูงกว่า อยู่ใกล้บ้าน
เบื่อที่ทำงานเก่า งานใหม่ท้าทายกว่า อยากทำงานกับบริษัทข้ามชาติ ฯลฯ
แต่เมื่อมาถามตอนนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตสรุปว่าดีหรือไม่
คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่หลายคนตอบว่าถ้าพิจารณาถึงผลระยะยาวแล้ว
อาจจะไม่เป็นผลดีมากนักเพราะประสบการณ์ในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี
เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้ครบทั้งการเรียนรู้ (Learn)
การทำงาน (Perform) และการพัฒนาปรับปรุงงาน
(Improve) แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับช่วงชีวิต
เพราะบางช่วงอาจจะเปลี่ยนบ่อยเพราะตลาดกำลังโต ชีวิตกำลังรุ่ง
แต่บางช่วงอาจจะต้องอยู่นาน เพราะต้องหยุดพักหายใจและสั่งสมประสบการณ์
ก่อนที่จะไต่ระดับขึ้นสู่เพดานบินที่สูงขึ้น
เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียนภาษาต่างประเทศ
เสียดาย ภาษาอังกฤษไม่ดี
เป็นคำพูดที่มักจะได้ยินจากอดีตมนุษย์เงินเดือนที่ไปสัมภาษณ์งานมาใหม่ๆ ที่มักจะรู้สึกเสียดายบริษัทฝรั่งที่เสนอเงินเดือนให้สูงๆ
แต่ติดที่ภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย เพราะไม่ได้จบ (เมือง) นอก และทำงานแต่บริษัทคนไทย
จึงไม่มีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย บางคนจะหันมาเอาดีทางภาษาก็ต่อเมื่อบินสูงแล้ว
ซึ่งพัฒนาได้ยากแล้ว เพราะมีเวลาน้อยและภารกิจทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเรียนภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษตั้งแต่เริ่มทำงาน
และจะเลือกทำงานกับบริษัทต่างชาติตั้งแต่ต้น
หรือไม่ก็อาจจะหาเงินไปเรียนต่อต่างประเทศ
เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย
มนุษย์เงินเดือน บางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว
ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองคืออะไร
จะทำงานเป็นลูกจ้างไปเรื่อยๆจนเกษียณ หรือจะออกไปทำอาชีพอิสระ
ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากจะทำคืองานอะไร ยังตอบไม่ได้เลย
อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไรละครับ พูดง่ายๆคืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง
วันๆก็ตื่นขึ้นมาไปทำงาน เสร็จงานกลับบ้าน จันทร์ถึงศุกร์ทำงาน
เสาร์อาทิตย์อยู่บ้าน รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นเดือน เป็นปี บางคนเป็นสิบปี
มารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว เพื่อนๆรุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงานว่าอีกกี่ปีจะเป็นอะไร จะทำอะไร
จะต้องได้อะไร และแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี ควรจะทำอะไร อย่างไรบ้าง
เสียดายทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป
คนบางคน ไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อย
แต่ไม่เคยเปลี่ยนงานเลย ตอนที่ทำงานอยู่รู้สึกว่าเราเป็นคนดีขององค์กร
ไม่ยอมเปลี่ยนงานไปไหนเลย
แต่พอชีวิตการทำงานผ่านเลยไปก็รู้สึกเสียใจและเสียดายเหมือนกัน
ที่ชีวิตการทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียว สังคมเดียว คนบางคนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป
ช่วงเวลาที่กำลังรุ่งก็ไม่ยอมเปลี่ยนงาน พอจังหวะชีวิตผ่านไปก็คิดจะเปลี่ยนงาน
ก็ทำได้ยากแล้ว เพราะเงินเดือนสูง อายุเยอะ แต่ตำแหน่งต่ำ
ไปสมัครตำแหน่งที่สูงเกินไปเขาก็ไม่รับ สมัครในตำแหน่งที่เท่าเดิมก็แก่กว่าคนอื่นๆ
(แถมเงินเดือนเดิมสูงกว่าอีกต่างหาก)
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้
อยากจะเปลี่ยนงานในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อปรับเพดานบินให้เหมาะสมกับอายุตัว
และอายุงาน โดยไม่ต้องยึดติดว่าจะต้องอยู่กับองค์กรใดองค์กรหนึ่งนานจนเกินไป
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้
ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนควรจะเชื่อและเอาแบบอย่าง แต่ก็ไม่อยากให้มนุษย์เงินเดือนมองข้ามคำว่า
“เสียดาย” ของอดีตมนุษย์เงินเดือนไป อย่างน้อยก็น่าจะนำไปเป็นคำถามตัวเองว่า
เราอยากจะรู้สึกเสียดายในเรื่องนั้นเรื่องนี้เหมือนมนุษย์เงินเดือนรุ่น
ก่อนๆหรือไม่ ถ้าไม่ เราควรจะทำอย่างไรตั้งแต่วันนี้.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น